“ทุกคนเกิดมาในโลกนี้แล้ว มีโอกาสทำชั่วได้หมดก็ควรหาโอกาสเสริมสร้างความดีเอาไว้บ้าง คนทำชั่ว นั้นก็เพราะ ไม่มีสติไม่มีปัญญา จึงเป็นเหตุ ให้ไปก่อทุกข์ภัยมาสู่ตนเอง”
อันทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ จะไม่เคยทำชั่วเลยนั้น คงจะไม่มีแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก่อนที่จะบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ทรงผิดพลาดมาแล้วเช่นกัน
เพียงแต่หากรู้ว่าผิดแล้ว ก็ควรทำให้ถูกเสีย แบบนี้จึงได้ชื่อว่าผู้มีปัญญา คนที่ทำความชั่วทุกคน ต่างก็เป็นเพราะขาดสติ เมื่อไม่มีสติ ปัญญาจึงหามีไม่
คำว่าปัญญาในทางพระพุทธศาสนานั้น ไม่ได้วัดกันที่ความรู้ทางด้านวิชาการ หรือความรู้ด้านไอคิว ซึ่งเป็นความรู้ทางโลก แต่ปัญญาทางพระพุทธศาสนานั้น เป็นความรู้ทางจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตใจที่ถูกฝึกฝนขัดเกลามาดีแล้วนั้น ย่อมชื่อว่า เป็นผู้มีปัญญามาก
ที่กล่าวมานี้ใช่จะกล่าวว่า ความรู้ทางโลกนั้นไม่สำคัญเพียงแต่การที่มีความรู้ทางโลกเพียงอย่างเดียว ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ถึงจะมีความสุขก็เป็นความสุขจอมปลอม หรือเป็นความสุขที่ปรุงแต่งขึ้นมาเอง ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงตามหลักพระพุทธศาสนา
เวลามีความสุข ตอนนั้นจะยังไม่มีใครอยากทำความชั่ว แต่เมื่อชีวิตเริ่มเกิดปัญญา และมีอุปสรรคขึ้นมา ตอนนี้แหละที่จะ
เป็นเครื่องวัดว่า ใครจะใช้ปัญญาแก้ไขได้ดีกว่ากัน หากใช้ปัญญาทางโลกแก้ปัญหา มักจะเกิดข้อผิดพลาด เพราะเป็นการแก้ที่ภายนอก แก้ที่คนอื่นแก้ที่สิ่งรอบตัว
แต่ปัญญาทางธรรมนั้น สอนให้แก้ที่ในตัวและ ในจิตใจของตัวเองเป็นหลัก ผู้ที่ไม่มีสติจึงมักมองออกนอกตัวเมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะโยนไปให้คนอื่นตลอด โดยไม่ได้สนใจเลยว่าตัวเองทำผิดหรือไม่ สุดท้ายแล้วความชั่วที่โยนออกไปก็ไม่ได้ไปที่ไหน ก็อยู่ที่ใจคนโยนนั่นเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า “เมื่อให้สิ่งใดกับใคร สิ่งนั้นก็จะอยู่กับเรา”
ดังนั้นเมื่อเราให้ความชั่วแก่คนอื่น ความชั่วก็อยู่กับเรา แต่ถ้าเราให้
ความดีแก่คนอื่น ความดีก็จะอยู่กับเราเช่นกัน
สาธุดังๆ!!! คติธรรม คำสอน ~ พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์, พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ, พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือ ที่รู้จักกันทั่วไปว่า “พ่อท่านคล้าย” เทวดาเมืองคอน
ขอขอบคุณ : palungjit.org / บารมีพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์
#แชร์เป็นธรรมทาน..