เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2564 เว็บไซต์ นสพ.Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เสนอข่าว Coronavirus vaccination rate now on investors’ radar ระบุว่า ประเทศที่มีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 อย่างกว้างขวางรวดเร็วเท่าใด ย่อมดึงดูดความสนใจของนักลงทุนมากขึ้นเท่านั้น โดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เป็น 2 ประเทศที่พบเงินทุนไหลเข้าค่อนข้างมากตั้งแต่ต้นปี 2564 ในขณะที่สกุลเงินของญี่ปุ่น สหภาพยุโรป (EU) และประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บางประเทศยังคงอ่อนแอ เนื่องจากกระบวนการฉีดวัคซีนค่อนข้างล่าช้า
ผู้สื่อข่าวตรวจสอบความเคลื่อนไหวของ 25 สกุลเงิน ระหว่างวันที่ 4 เม.ค.-9 เม.ย. 2564 โดยเทียบกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในบางประเทศและภูมิภาค พบว่า เงินปอนด์ของอังกฤษ และเงินเหรียญดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกา เป็นสกุลเงินที่ผลกำไรแข็งแกร่งที่สุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 และ 1.4 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับสกุลเงินเยนของญี่ปุ่น ยังพบว่า 1 ปอนด์อยู่ที่ 153 เยน สูงที่สุดในรอบ 3 ปี นอกจากนี้หากเทียบกับเงินยูโรของ EU ยังพบว่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี โดยเงินยูโรนั้นต่ำกว่า 0.85 ปอนด์ เงินปอนด์ยังอยู่ในระดับสูงในตลาดซื้อ-ขายของกรุงโตเกียว วันที่ 14 เม.ย. 2564
ผลการศึกษาที่ทำร่วมกันระหว่างสื่อญี่ปุ่นคือ Nikkei และ นสพ.ข่าวเศรษฐกิจของอังกฤษอย่าง Financial Times พบอีกว่า ณ วันที่ 13 เม.ย. 2564 อังกฤษฉีดวัคซีนไปแล้วร้อยละ 59.7 และสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 56.4 แต่ก็เป็นเพราะบริษัทยาที่พัฒนาวัคซีนนั้นส่วนใหญ่เป็นของ 2 ประเทศดังกล่าว ไดสุเกะ คาราคามะ (Daisuke Karakama) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์การตลาด ธนาคารมิซูโอ กล่าวว่า สามารถมองเห็นความเชื่อมโยงได้ เช่นเดียวกับ เอจิ คิโนะอุชิ (Eiji Kinouchi) หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านเทคนิคของ Daiwa Securities ที่กล่าวว่า การฉีดวัคซีนในวงกว้างส่งผลต่อการกลับมาเริ่มต้นใหม่ของเศรษฐกิจ
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า สหรัฐอเมริกาและอังกฤษเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมบาร์และร้านอาหาร ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสำหรับธุรกิจภาคบริการจะอยู่เหนือเกณฑ์การเติบโต หรือขยายตัวที่ 50 จุด หากการบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการรับสินค้าในบริการส่วนบุคคลซึ่งจะยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในทางตรงกันข้าม เงินเยนของญี่ปุ่นกลับลดค่าลงถึงร้อยละ 4.4 ซึ่งญี่ปุ่นเพิ่งเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับผู้สูงอายุ เพียงร้อยละ 1.3 เท่านั้น เช่นเดียวกับเงินยูโรก็ลดค่าลงร้อยละ 1.1 เพราะประเทศใหญ่ๆ ใน EU กำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้วัคซีน เช่น ฝรั่งเศส อัตราการฉีดวัคซีนอยู่ที่ร้อยละ 21.5 ส่วนเยอรมนีอยู่ที่ร้อยละ 21.9
การเก็งกำไรค่าเงินเพิ่มขึ้นในสกุลเงินที่รัฐบาลของประเทศที่ซื้อวัคซีนจะย้ายไปขายเงินของตนเองและซื้อเงินปอนด์หรือดอลลาร์ ส่งผลให้สกุลเงินของอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกาแข็งค่าขึ้น ตรงข้ามกับเงินเยนและยูโรจะอ่อนค่าลง อนึ่ง ปรากฏการณ์เดียวกันยังเกิดขึ้นที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ที่ปัจจุบันประชากรร้อยละ 92.2 ได้รับวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว พบว่า สกุลเงินของประเทศคือเดอแฮม ก็เพิ่มค่าขึ้นร้อยละ 2.2 ตรงข้ามกับรัสเซีย มีผุ้ได้รับวัคซีนเพียงร้อยละ 9.8 สกุลเงินรูเบิลลดค่าลงร้อยละ 2.2 และบราซิลที่มีผู้ได้รับวัคซีนเพียงร้อยละ 12.7 สกุลเงินเรียลลดค่าลงถึงร้อยละ 5.5
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า ความกังวลยังเกิดขึ้นกรณีเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาแข็งค่า อาจกระทบต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่เพราะต้องแบกรับภาระหนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่ในแวดวงตลาดหุ้น นักลงทุนก็เริ่มให้ความสำคัญกับประเทศที่ประสบความสำเร็จการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยตั้งแต่ต้นปี 2564 ดัชนีส่วนแบ่งมาตรฐานเพิ่มขึ้นในสิงคโปร์ ร้อยละ 12 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 10 และอังกฤษ ร้อยละ 7 ตรงข้ามกับอินเดีย บราซิลและอินโดนีเซีย ที่แผนการฉีดวัคซีนค่อนข้างย่ำแย่ ทำให้ดัชนีเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2 ร้อยละ 1 และร้อยละ 1 ตามลำดับ
การฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางและความเร็วในการฟื้นฟูเศรษฐกิจยังส่งผลต่อรัฐบาลกลาง ยังมีแนวโน้มส่งผลต่อนโยบายของธนาคารกลาง เจมส์ บุลลาร์ด (James Bullard) ประธานธนาคารกลางแห่งเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่ สหรัฐอเมริกา กล่าวเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2564 ว่า ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา อาจพิจารณาลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หากอัตราการฉีดวัคซีนทั่วประเทศขึ้นไปอยู่ที่ร้อยละ 75-80 ส่วนในอังกฤษ การเก็งกำไรของตลาดเกี่ยวกับการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบได้ลดลง นอกจากนี้ยังมีมุมมองว่านักลงทุนที่คาดว่านโยบายการเงินจะกลับสู่ภาวะปกติก็กำลังหาซื้อเงินปอนด์และเงินดอลลาร์
เครดิตแหล่งข้อมูล : Naewna
สื่อญี่ปุ่นเผยวัคซีนโควิดยิ่งฉีดมากเร่งศก.ฟื้นไว ยก‘มะกัน-ผู้ดี’สกุลเงินเพิ่มค่าขึ้น-นักลงทุนสนใจ