สธ.เผย ปี 2565 ขยายคลินิกกัญชาทางการแพทย์แล้ว 1,026 แห่งทั่วประเทศ ผลวิจัยพบช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย เตรียมต่อยอดรักษา “มะเร็ง-นอนไม่หลับ” พร้อมกำกับติดตามผลกระทบต่อเนื่อง
วันที่ 18 ตุลาคม 2565 กระทรวงสาธารณสุข เผย ปี 2565 ขยายบริการคลินิกกัญชาทางการแพทย์ภายใต้สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมวิชาการต่างๆ และสถานพยาบาลเอกชน รวม 1,026 แห่งทั่วประเทศ มีผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยากัญชาทางการแพทย์เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 142.18 โดยมีผลงานวิจัยหลายฉบับพบว่า ยากัญชาช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย เตรียมศึกษาต่อยอดนำไปใช้รักษา “มะเร็ง-นอนไม่หลับ” พร้อมกำกับติดตามผลกระทบจากนโยบายกัญชาทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์และการวิจัยโดยได้ขยายคลินิกกัญชาทางการแพทย์ในสถานพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยากัญชาทางการแพทย์อย่างปลอดภัย
ล่าสุด นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลผลงานวิจัยเกี่ยวกับสารสกัดจากกัญชา ภายหลังมีการอนุญาตให้นำพืชสมุนไพรไทยนี้มาใช้ทางการแพทย์ในปี 2562
โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ศึกษาผลงานวิจัยกัญชาทางการแพทย์ จำนวนทั้งสิ้น 60 ฉบับ ทั้งด้านการนำไปใช้ประโยชน์สูงสุด, ผลกระทบเชิงนโยบายและการออกแบบระบบ, การศึกษาสายพันธุ์และการปลูกที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาสูตรตำรับและผลิต
ผลจากการศึกษานี้ทำให้เห็นแนวทางที่สามารถต่อยอดได้ในเรื่องโรคมะเร็ง และอาการนอนไม่หลับ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการวิจัยทั่วโลก รวมถึงมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ให้ผลตรงกันว่า ยากัญชาช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย
งานวิจัยยังถือเป็นหลักฐานสนับสนุนให้ยากัญชาทั้ง 2 ตำรับ คือ THC เด่น และ THC:CBD (1:1) เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาเหล่านี้ได้มากขึ้น
ส่วนยาแผนไทยหลายตำรับ เช่น ยาศุขไสยาศน์ ยาน้ำมันกัญชาอาจารย์เดชา และยาน้ำมันกัญชาทั้ง 5 มีประสิทธิผลในการบรรเทาอาการนอนไม่หลับ โดยข้อมูลปี 2565 มีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยากัญชาทางการแพทย์เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 142.18
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ปัจจุบันมีผู้ป่วยกว่า 2,000 ราย ที่รับยากัญชาจากคลินิกของโรงพยาบาล และยังมีผู้ป่วยราว ๆ 10,000 รายทั่วประเทศ ที่รับยาที่ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรผลิต ทำให้เห็นถึงศักยภาพของยากัญชาชัดเจน
โดยการใช้ยากัญชานี้พบว่าช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายที่มีอาการปวด นอนไม่หลับและเบื่ออาหาร กลุ่มอาการปวดเรื้อรัง และโรคสะเก็ดเงิน ทำให้ผู้ป่วยมากกว่าครึ่งสามารถลดการใช้ยาแผนปัจจุบันได้
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข